Redmi Note 9T สมาร์ตโฟน 5G ที่คุ้มค่าที่สุดแห่งปี 2564

 


ก้าวต่อไปในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย นั่นคือการขับเคลื่อนเทคโนโลยีการสื่อสารยุคใหม่ 5G ให้ครอบคลุมพื้นที่การใช้งานไปทั่วประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าตลาด 5G จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่มีอุปกรณ์สื่อสารที่จะมารองรับบริการดิจิทัลต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากต่อยอดจากเครือข่าย 5G และการจะเข้าถึงบริการและข้อมูลดังกล่าวได้นั้น จำเป็นต้องมีสมาร์ทโฟนที่คุณภาพดีที่มาพร้อมกับราคาที่คุ้มค่าจับต้องได้ ช่วยให้เกิดการขับเคลื่อนตลาด 5G ให้เติบโตมากยิ่งขึ้น เสียวหมี่จึงนำเสนอสมาร์ทโฟน 5G รุ่นใหม่ที่น่าสนใจและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างคุ้มค่ามาประเดิมต้นปี 2564 ด้วย Redmi Note 9T 

Redmi Note 9T รองรับบริการดิจิทัล 5G

ปัจจุบันกลุ่มผู้ให้บริการเครือข่าย 5G ต่างเร่งผลักดันการบริการดิจิทัล 5G ออกสู่ตลาดเพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสการใช้งานจริง ไม่ว่าจะเป็นบริการด้านวิดีโอและเพลงที่มีความคมชัดและคุณภาพเสียงระดับไฮไฟ (Hi-Fi) เกมแบบ AR และ VR ซึ่งทุกบริการที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ รวมอยู่ใน Redmi Note 9T สมาร์ทโฟน 5G รุ่นล่าสุดที่ได้เปิดตัวไปหมาดๆ และแม้เป็นสมาร์ทโฟนระดับกลาง แต่ก็ครบเครื่องรองรับบริการดิจิทัล 5G ได้อย่างสมบูรณ์

Redmi Note 9T มาพร้อมกับราคาที่คุ้มค่า จับต้องได้กับสมาร์ทโฟน 5G ระดับพรีเมี่ยม แบบฉบับของRedmi Note 9T ที่ใช้โปรเซสเซอร์ขั้นสูงของ MediaTek’s Dimensity 5G-integrated 800U SoC ทำให้การประมวลผลเร็วกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ถึง 100% นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับโมเด็มที่พัฒนาเฉพาะ Redmi Note 9T เพื่อให้ประสิทธิภาพในการใช้ดีขึ้น ประหยัดพลังงานมากขึ้น ผนวกรวมกับโปรเซสเซอร์ octa-core และเทคโนโลยีการประมวลผล 7 นาโนเมตร สามารถเชื่อมต่อการใช้งาน 5G ได้แบบสองซิมการ์ดพร้อมกัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในตระกูล Redmi Note และยังเป็นเจ้าแห่งความเป็นเลิศ ด้วยเทคโนโลยี 4x4 MIMO และเสาอากาศ ทำให้ Redmi Note 9T สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่าย 5G ได้รวดเร็วและมีเสถียรภาพมากขึ้น แม้ในสภาพแวดล้อมที่แออัด

ใช้บันทึกเรื่องราวสำคัญด้วยกล้องความละเอียด 48 ล้านพิกเซล 

หนึ่งในบริการที่จะมาควบคู่กับ 5G แน่นอนหนีไม่พ้นบริการวิดีโอ เพราะความเร็วของ 5G ให้เราสามารถดาวน์โหลดวีดีโอระดับ 8K ภาพยนตร์ หรือ แอปพลิเคชันต่างๆ ได้เร็วถึง 10,000Mbps หรือใช้เวลาแค่ 6 วินาที เมื่อเทียบกับ 4G แล้วต้องใช้เวลาถึง 6 นาทีเลยทีเดียว ดังนั้น Redmi Note 9T จึงพัฒนาและติดตั้งกล้องหลังมาให้สามกล้องกับความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์ระยะชัดลึก 2 ล้านพิกเซล และเลนส์มาโคร 2 ล้านพิกเซล  Redmi Note 9T ทำให้ผู้ใช้มือใหม่รู้สึกเหมือนเป็นช่างภาพมืออาชีพ ด้วยเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่½นิ้วและ สถาปัตย์ ISP ระดับเรือธงช่วยให้คุณภาพของภาพดีขึ้นและการประมวลผลที่เร็วขึ้น Redmi Note 9T ยังมีเครื่องมือสุดสร้างสรรค์อย่างโหมด Night, Pro + RAW, HDR และ Portrait ช่วยให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนได้ประสบการณ์การถ่ายภาพที่สมบูรณ์แบบในทุกสถานการณ์

ดีไชน์ที่ยอดเยี่ยมและทนทาน

ไม่เพียงการต่อเชื่อมที่รวดเร็ว สามารถเข้าถึงบริการดิจิทัล 5G ได้ครบครันแล้ว Redmi Note 9T ยังได้รับการออกแบบให้โดดเด่น ให้มีรูปลักษณ์และสัมผัสแบบระดับพรีเมี่ยม ด้วยหน้าจอ FHD+ DotDisplay ขนาด 6.53 นิ้ว และด้านหลังโค้งแบบ Unibody สามมิติ ด้านหลังมีพื้นผิวเป็นโพลีคาร์บอเนตเพื่อช่วยเพิ่มการยึดเกาะและลดรอยนิ้วมือ นอกจากนี้ Corning®Gorilla® Glass 5 ยังช่วยป้องกันความเสียหายจากการตกหล่น และ Redmi Note 9T ยังได้รับการรับรองจาก Widevine L1 และTÜV Rheinland Low Blue Light เพื่อรองรับการสตรีมเนื้อหาแบบ HD ได้หลายชั่วโมงโดยไม่ปวดตา และมีเซ็นเซอร์ลายนิ้วมือด้านข้างที่สะดวกสบายทำให้ Redmi Note 9T สามารถปลดล็อกได้ง่ายๆ

เหนือชั้นกว่าด้วยแบตเตอรี่ความจุขนาดใหญ่

Redmi Note 9T ช่วยขจัดความกังวลเกี่ยวกับแบตเตอรี่และมอบการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงานได้อย่างลงตัวสำหรับยุค 5G ด้วยพลังอัดแน่นไปกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,000mAh (typ) และเทคโนโลยีโปรเซสเซอร์ประสิทธิภาพสูง พัฒนาระบบการชาร์จที่รวดเร็วถึง 18 วัตต์ และมาพร้อมกับอุปกรณ์ชาร์จ 22.5 วัตต์ในกล่อง ยิ่งไปกว่านั้นตัวเครื่องยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีแบตเตอรี่รอบการชาร์จสูงซึ่งหมายความว่าผู้ใช้สามารถใช้งานได้ยาวนานเกือบสามปีโดยที่ความจุแบตเตอรี่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย

ราคาคุ้มค่ากว่าที่คิด

ทั้งนี้ เมื่อเทียบในด้านราคาสมาร์ทโฟน 5G แล้วถือว่า Redmi Note 9T ขนาดความจุ 4GB+64GB มีราคา 6,999 บาท และ Redmi Note 9T ขนาดความจุ 4GB+128GB มีราคา 7,499 บาทเท่านั้น ในสเปคที่มากับราคาไม่ถึงหมื่น ช่วยตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวไทยที่ต้องการใช้เทคโนโลยียุดใหม่ 5G ที่รวดเร็ว ช่วยให้การชีวิตประจำวันของเราก้าวไปอีกขั้น 

และวันนี้ Redmi Note 9T สมาร์ทโฟน 5G ทั้งสองรุ่น ได้วางจำหน่ายแล้วแบบเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะบนแพลตฟอร์มออนไลน์ JD Central ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2564 นี้ มีสองสีให้เลือกได้แก่ Nightfall Black และ Daybreak Purple ซึ่งเป็นสีที่จะไม่มีวันตกยุคแน่นอน

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น